จิบชาอย่างไรให้สุขกายทุกวัน

ประชากรที่สืบทอดวัฒนธรรมการดื่มชากันมายาวนานอย่าง ชาวจีน ชาวญี่ปุ่น หรือแม้แต่ประชากรในแถบตะวันตกบางประเทศ เช่น ชาวไอริช มีค่านิยมดื่มน้ำชาแทนน้ำเปล่า เพราะพวกเขาเชื่อว่าใบชาเป็นสิ่งที่ได้จากธรรมชาติ ดังนั้นจึงมีประโยชน์ต่อสุขภาพหากได้ดื่มเป็นประจำทุกวัน

สำหรับในบ้านเราที่นิยมดื่มชาเขียว ชาขาว หรือชาดำที่ชงสำเร็จบรรจุขวดไม่ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพเท่าไหร่นัก เพราะร่างกายเราจะได้รับน้ำตาลในปริมาณมากกว่าได้คุณค่าจากชา ซึ่งจะส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว สุขกายสบายใจฉบับนี้เรามีคำแนะนำเกี่ยวกับการดื่มชาว่าควรดื่มอย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุดมาบอก

ดื่มชาชงร้อนดีที่สุด ในใบชามีสารอาหารชีวภาพมากกว่า 200 ชนิด รวมถึงสารอาหารสำคัญในใบชา เช่น คาเทชิน (Catechin) ซึ่งเป็นสารประกอบมีฤทธิ์ดักจับอนุมูลอิสระ และธีอะนิน (Theanine) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนในชาที่ทำงานสัมพันธ์กับเส้นประสาททำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย ซึ่งหากชงแบบร้อนแล้วดื่มทันทีจะได้รับประโยชน์จากสารอาหารในใบชามากกว่าชงดื่มแบบเย็น ที่สำคัญคือ เมื่อชงแล้วควรดื่มให้หมด ไม่ควรทิ้งไว้นานเกิน 2 ชั่วโมง เพราะสารคาเทชินจะดักจับและรวมตัวกับออกซิเจน ทำให้น้ำชามีสีคล้ำลง มีรสชาติฝาดชัดเจนเพราะมีกรดแทนนินสูง (Tannin) หากดื่มชาตอนชามีรสฝาดจะส่งผลต่อกระเพาะอาหารและลำไส้ คือดูดซึมสารอาหารได้ไม่เต็มที่โดยเฉพาะธาตุเหล็ก แคลเซียม แมกนีเซียม

ดื่มชาหลังอาหาร 2-3 ชั่วโมงเพื่อช่วยย่อย หลังรับประทานอาหารแล้ว 2-3 ชั่วโมงควรดื่มชาชงแก่ เพื่อกระตุ้นการหลั่งน้ำย่อยในกระเพาะอาหารให้ช่วยย่อยอาหารจำพวก วิตามิน สำหรับผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ และผู้ที่นิยมจิบชา แทนน้ำเปล่า แนะนำว่าควรจิบชาชงอ่อน เพราะการดื่มชาชงแก่จะไปกระตุ้นให้กระเพาะหลั่งกรดออกมามากขึ้น ซึ่งจะเกิดการระคายเคืองที่กระเพาะอาหารได้